รายละเอียด
ดาวน์โหลด Docx
อ่านเพิ่มเติม
พวกเขากล่าวว่าพระพุทธเจ้า ทรงเสวยเท้าชาวหมูด้วย พระองค์ไม่เคยเสวยเลย ไม่ พระองค์ตรัสด้วยว่า ผู้ใดกินเนื้อชาวสัตว์ ก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ของพระองค์ คุณทุกคนรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว แต่สมัยนี้ ผู้คนไม่ค่อยสนใจเรื่องนั้นแล้ว ตอนแรก พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต เพราะมีคนเข้ามา และไม่รู้อะไร พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ถ้าคุณต้อง กินเนื้อชาวสัตว์ ก็กินเนื้อ ที่มีกรรมน้อยกว่า เช่น เนื้อที่ตายบนท้องถนน หรือเนื้อที่ตาย ตามธรรมชาติ หรือใครบางคนฆ่าพวกเขา แต่ไม่ใช่เพื่อคุณโดยเฉพาะ และคุณไม่ได้ยิน เสียงร้องของชาวสัตว์ เมื่อพวกเขาถูกฆ่า” แต่นี่เป็นเพียง ตอนต้นเท่านั้น [...]เพราะในครั้งนั้น พระพุทธเจ้าประทับอยู่ใต้ต้นไม้ ในต้นไม้ - อย่างต้นไม้บางต้นจะมีโพรง ต้นไม้ใหญ่อย่าง ต้นโพธิ์ ลำต้นสามารถเป็น บ้านหรือใหญ่กว่านั้นได้เลย และที่โคนต้นไม้ ใกล้กับราก จะมีโพรง มันแยกออกจากกัน ในระหว่างกระบวนการเติบโต พระพุทธเจ้าก็ประทับ อยู่ในโพรงหนึ่งในนั้น เช่นเดียวกับพระหลายรูปในอดีต และตอนนี้บางรูปก็ยังทำเช่นนั้น หรือนั่งในถ้ำ หรือทำนองนั้น ดังนั้น ผู้คนมาหา พระพุทธเจ้า พวกเขาไม่เข้าใจว่า เขาจะต้องเป็นวีแกน หรืออะไร พวกเขาจึงต้องออกไป ซื้ออาหารกินที่ตลาด และกลับมาใหม่ มาพบพระพุทธเจ้าอีกที พระพุทธเจ้าไม่มีบ้าน ไม่มีครัว ไม่มีอะไรเลย พระองค์ออกไปบิณฑบาต ดังนั้น คนที่มาใหม่เหล่านี้ แม้แต่พระที่เพิ่งมาใหม่ พวกเขาก็จะไป ๆ มา ๆ มาและไปกินอาหารถ้าพระพุทธเจ้ารู้ว่า พวกเขากินเนื้อชาวสัตว์ พวกเขาต้องกิน เพราะพวกเขา ไม่รู้ว่ามังสวิรัติคืออะไร พวกเขาไม่รู้ว่า วีแกนคืออะไร พวกเขาไม่รู้ว่าจะไปซื้อที่ไหน พวกเขาต้องกินเนื้อชาวสัตว์ – พระพุทธเจ้าจึงต้องผ่อนปรน และแนะนำพวกเขาว่า “ถ้าเจ้าจะต้องกิน ก็ให้กินเนื้อชนิดนี้ เนื้อชนิดนั้น” มิเช่นนั้น กรรมก็จะ หนักเกินกำลังของเจ้า” พวกเขาทำกันแบบนั้น แต่ต่อมา พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เจ้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เจ้ารู้สัจธรรม และรู้ธรรมแล้ว ดังนั้นเจ้าจะไม่กินเนื้อสัตว์อีกต่อไป ผู้ใดกินเนื้อสัตว์ จะมิใช่สาวกของเรา ดังนั้นตอนนี้คุณรู้แล้วและต่อมา พระพุทธเจ้าก็มีอาศรม เป็นห้องสำหรับพระองค์ เขาเรียกกันว่า “ห้องกลิ่นหอม” เป็นห้องของพระพุทธเจ้า และยังมีห้องอื่นมากมาย สำหรับภิกษุทั้งหลาย แต่บางครั้งก็ไม่พอ เพราะมีพระอื่น กลับมา พระสูงอายุ หรือพระจากโรงเรียนอื่น ที่มาเยี่ยม และไม่มีที่ว่างเพียงพอ ครั้งนั้นแม้แต่พระราหุล โอรสของพระพุทธเจ้าก็ต้อง ไปนอนบริเวณห้องน้ำ พระพุทธเจ้าทรงฝึก พระองค์ให้ถ่อมตน และ ยอมรับในสถานการณ์ต่าง ๆ แบบนั้น พระโอรสของพระพุทธเจ้าด้วยซ้ำ เจ้าชายด้วย – พระองค์ก็เป็นเจ้าชาย แน่นอน… และต้องไปนอน ในบริเวณห้องน้ำมีพระสูตรหนึ่งที่บันทึก เรื่องทั้งหมดนี้ไว้ จากพระอานนท์ผู้ยิ่งใหญ่ แน่นอน เราต้องขอบคุณพระองค์ สำหรับพระสูตรมากมาย และเราต้องขอบคุณ พระอื่น ๆ มากมาย ภายใต้ ปีกคุ้มครองของพระพุทธเจ้า ที่ได้บันทึกเรื่องจริงต่าง ๆ และ คำสอนธรรมะที่แท้จริงทั้งหมดนี้ ของพระพุทธเจ้าไว้ให้เรา พระสูตรมากมายสูญหาย หรือถูกทำลาย แน่นอนว่า หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน พระภิกษุมากมาย มาชุมนุมกันและ รวบรวมเรื่องราว และคำสอนทั้งหมดของ พระพุทธเจ้า และ จัดเป็นหมวดหมู่ตามลำดับ นอกจากนี้ผู้คนมากมายอยากเรียนรู้ พวกเขาจึงมาทำสำเนาไว้ แต่หลังจากที่ชาวมุสลิม และ ผู้รุกรานอื่น ๆ เข้ามา แน่นอน พวกเขาฆ่าพระ ทำลายวัด และ เผาพระสูตรไปมากมายแต่ยังมีบางส่วนเหลืออยู่ เพราะบางคนนำไป ประเทศอื่น หรือพื้นที่อื่น ที่ไม่ถูกรุกราน ด้วยเหตุนี้ ปัจจุบันเราจึง ยังมีพระสูตรมากมายให้ศึกษา และให้รู้ว่าคำสอน ของพระพุทธเจ้าคืออะไร เพื่อปฏิบัติตามและพยายามเป็น ศิษย์ที่ดีและสูงส่งของพระพุทธเจ้า ครั้งนั้น ไม่ใช่ว่าคำสอนของ พระพุทธเจ้าทั้งหมด มาถึงประเทศหนึ่งในคราวเดียว เนื่องจาก เหล่าภิกษุจะต้องวิ่งและ เอาไปเท่าที่จะเอาได้ ไปกับ พวกเขา ต้องซ่อนตัวเพื่อชีวิตตนเอง และเพื่อปกป้องพระสูตรดังนั้นบางประเทศอาจมี พระสูตรจำนวนมาก กว่าประเทศอื่นมาก และบางประเทศอาจมีพระสูตร แตกต่างจากประเทศอื่น ดังนั้นบ้างก็ฝึกบำเพ็ญ พวกเขาเรียกมันว่า มหายาน พวกเขายึดถือคำสอน จากพระสูตรหลักที่ถูกทิ้งไว้ ข้างหลัง เช่น จากอินเดีย แล้วพระถังซัมจั๋ง – มหาอาจารย์ ท่านได้ไปยังอินเดีย แล้วนำบางส่วนกลับมาบ้าน หรือแปลจากที่นั่น และนำกลับบ้านที่ประเทศจีน และแล้วจากตรงนั้น ก็แพร่กระจายไปสู่หลายประเทศแต่ก็มีบางท่านที่ไป ประเทศอื่นด้วย เนื่องจากเหล่าพระภิกษุ จะไปยังที่ที่ท่านสามารถไปได้ หรือไปยังประเทศของตนเอง ก่อนที่ท่านจะมาเอา พระสูตรจากพระรูปอื่น ในอินเดีย เป็นต้น ดังนั้นสิ่งใดที่พวกเขาได้มา ก็คือสิ่งที่พวกเขามี และได้บำเพ็ญตามนั้น ดังนั้นโรงเรียนสงฆ์บางแห่ง ได้ปฏิบัติตามคำสอนแรก ๆ ของพระพุทธเจ้า นั่นคือเหตุที่พวกเขาเรียกมันว่า คำสอนของพุทธศาสนา “ดั้งเดิม” ซึ่งในนั้นพระพุทธเจ้า ยังอนุญาตให้บางคน กินเนื้อชาวสัตว์ ...สามชนิด พวกเขาเรียกมันว่า “เนื้อบริสุทธิ์” อย่างที่ฉันบอกคุณก่อนหน้านี้ว่า - ชาวสัตว์ที่ตายเองตามธรรมชาติ ไม่มีใครฆ่าพวกเขา หรือถ้าคุณต้องกิน เนื้อชาวสัตว์ – ถ้าเนื้อสัตว์เหล่านั้น ไม่ได้ถูกฆ่าเพื่อคุณ เพื่อตัวคุณโดยเฉพาะ คุณก็จะกินได้ แต่แน่นอน พวกเขาท่องมนต์ มากมาย และ การชำระล้างมากมาย ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพวกเขา และพวกเขารู้ดีอยู่แล้ว ในใจว่า สิ่งนี้ ไม่ควรเกิดขึ้น แต่พวกเขาแค่ทำ เป็นการชั่วคราวขณะที่ พวกเขายังเรียนรู้อยู่สมัยก่อน การไป ซื้ออาหารวีแกน อาจไม่ง่าย กับคนที่มาจากประเทศอื่น จังหวัดอื่น อำเภออื่น ที่ไม่คุ้นชิน กับวิถีชีวิต และวิถีทาง ในเมืองหรือนคร ที่พระพุทธเจ้าทรงอยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงแค่พูดว่า กินสิ่งใดก็ตามที่พวกเขากินได้ กินสิ่งใดก็ตามที่คนถวายให้ เป็นการชั่วคราว จนกว่าพวกเขาจะปักหลัก เรียนรู้กับพระพุทธเจ้า หรืออยู่ที่นั่น และแล้ว พวกเขาก็จะรู้ทุกสิ่ง ดังนั้นนั่นคือการอนุญาตของ พระพุทธเจ้าในแรกเริ่มเดิมที ดังนั้นตัวอย่างเช่น ผู้คน จากประเทศใกล้เคียง อินเดียในสมัยนั้น อย่าง พม่า กัมพูชา ไทย พวกเขาอาจได้รับคัมภีร์และ พระสูตรแรก ๆ เหล่านั้น จากพระอาวุโสในอินเดีย พวกเขานำมันกลับไปบ้าน และไม่มีเวลา ไปเอาพระสูตรอื่น ๆ หรือไม่มีพระสูตรอื่นอยู่ ในที่ที่พวกเขาไป พวกเขาจึงเอาอะไรก็ตาม ที่สามารถเอาได้ สมัยก่อน เราไม่มีเครื่องบิน เราไม่มีเรือยอร์ชลำใหญ่ เราไม่มีรถยนต์หรือรถบรรทุก ไว้ขนของจำนวนมาก ดังนั้นลองคิดดู แค่พระสงฆ์... ท่านอาจจะเช่า วัวเทียมเกวียนหรืออะไร แต่ไม่ใช่จะมีทุกที่ ท่านทั้งหลายจึงต้องคำนึงว่า ท่านจะต้องแบกพระสูตรเอง ไปตามถนนบางสาย ในบางพื้นที่ ที่ซึ่งไม่มีรถยนต์ ไม่มีรถบัส ไม่มีอะไรเลยอย่างที่เทือกเขาหิมาลัย ที่ฉันขึ้นไป ในหลายพื้นที่ ฉันก็แค่เดินตลอดเวลา แค่ครั้งเดียวที่ฉันได้ขึ้นรถบัส เพราะเราอยู่ใกล้ ตัวเมืองแล้ว และรถบัสอยู่ที่นั่น มีคนเช่ารถบัส และพวกเขาให้ฉันไปด้วย แค่นั้นแหละ นั่นเป็นเพียงครั้งเดียว ที่เทือกเขาหิมาลัย แน่นอน ต่อมา ตอนฉันลงไป ในเมือง เพื่อกลับบ้าน ที่นั่นมีรถม้าและสารพัดแต่ที่เทือกเขาหิมาลัย ที่ซึ่งฉันเดินอยู่นั้น – ไม่มีอะไรเลย แค่เดินทุกวัน และรองเท้าฉันเปียก เท้าฉันบวม ฉันมีเสื้อผ้าแบบ ปัญจาบแค่สองชุด - กางเกงขายาว แน่นอน และเสื้อคลุมยาวที่ปกปิด ร่างกายจนถึงเข่า หรือใต้เข่า มันจึงสง่างามยิ่งขึ้น สำหรับผู้สวมใส่ สมัยก่อนทั้งชายหญิง จะสวมใส่แบบนั้น แต่ไม่มีรถยนต์ และฉันสวมเสื้อผ้าเปียกตลอดเลย รองเท้าเปียก และเท้าบวม แต่ฉันตกหลุมรักพระเจ้า ฉันไม่กลัวสิ่งใด ฉันไม่สนใจอะไร ฉันไม่ได้คิด อะไรมากเลย ฉันไม่เคยคิดหรือเปรียบเทียบ หรือต้องการสิ่งที่ดีกว่า – ไม่อะไรเลยฉันไม่ได้มี เงินมากเช่นกัน มันต้องดำเนินต่อไป ฉันจึงไม่มีเงินจ้างใคร มาถือสัมภาระด้วยซ้ำ ฉันจึงแค่ถือเสื้อผ้าของฉันไป เสื้อกันหนาวตัวหนึ่ง – ฉันคิดว่าฉันอาจจำเป็นต้องใช้ เพราะนั่นคือทั้งหมดที่ฉันมี – และชุดนอน แบบปัญจาบอีกชุดหนึ่ง อยู่ในถุงนอน เพื่อกันฝน และชุดที่ฉันจะใส่ แค่นั้นแหละ ฉันไม่สามารถซื้ออะไรมากกว่านี้อีก และจานที่ใช้ทำจาปาตี และชงชาในเวลาเดียวกัน และถ้วยอะลูมิเนียมเล็ก ๆ ใบหนึ่ง และช้อนหนึ่งคัน ซึ่งต่อมา ฉันก็ต้องขาย ทุกสิ่งหนักเกินไป เมื่อคุณขึ้นไปบนพื้นที่สูง ของเทือกเขาหิมาลัย และฉันไม่เคยต้องใส่ เสื้อกันหนาวเลย เพราะฉันเดินตลอดเวลา และฉันแค่รู้สึกอบอุ่นเสมอ แม้แต่ตอนที่ฉันเปียก อย่างไรก็ตาม พระเจ้าได้ปกป้องฉัน – ที่ไหนก็ตามที่ควรจะแห้ง มันก็แห้ง มีแต่เท้าที่เปียก เพราะต้องเดินในบริเวณ ที่เปียกตลอดเลย ตอนหิมะละลาย มันจะเลอะเทอะและเป็นโคลนด้วย และเปียกตลอด แต่ว่าฉันไม่สามารถ ทำอะไรได้ ฉันมีแค่รองเท้ากีฬา คู่เดียว และต่อมาฉันไม่มีถุงเท้าอีกฉันมีถุงเท้า ไม่ถึงสองคู่ด้วยซ้ำ ฉันต้องซักและใส่ แต่มันก็ไม่เคยแห้ง เพราะฉันมีเงินไม่พอที่จะ เช่าที่ที่อยู่ใกล้กองไฟ ซึ่งผู้คนจัดไว้ ในพื้นที่แสวงบุญ คุณต้องรีบไปให้ถึง บ้านที่หลบภัยดังกล่าว เพราะไม่เช่นนั้นคุณจะถูกทิ้งไว้ ในความมืด บนถนน ในป่าหรือบนภูเขา ที่เทือกเขาหิมาลัย ไม่มีใครให้คุณถาม ไม่มีเพื่อนบ้าน ไม่มีอะไรเลย มีเพียงบ้านดินเรียบง่าย ที่พวกเขาสร้างไว้ตรงนี้ตรงนั้น ซึ่งอยู่ไกลกันมาก ไว้ให้ผู้แสวงบุญ เผื่อพวกเขาต้องการ และบรรดานักแสวงบุญ ก็มีเงินกัน ไม่ทราบยังไง พวกเขาจ่ายเงินแล้ว ส่วน ฉันก็แค่ยืนข้างหลังพวกเขา และผึ่งถุงเท้าในอากาศ – ข้างหลังกลุ่มคน ที่ยืนอยู่ – ไม่ใช่ข้างหน้ากองไฟนะแต่ฉันไม่เคยรู้สึกแย่ หรือหนาว หรืออะไร แล้วถ้ามันแห้ง ฉันก็จะใส่มัน ถ้ามันเปียก ฉันก็จะใส่มัน เพราะเช้าวันรุ่งขึ้น คุณก็ต้องออกเดินทางอยู่ดี คุณไม่อาจอยู่ ในบ้านนั้นคนเดียว คุณไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่เช่นกัน คุณไปแล้ว ก็จะมี กลุ่มอื่นเข้ามา ฉันไม่รู้อะไรมาก ถ้าคนออกไป ฉันก็ไป บางครั้งฉันต้องเดินคนเดียว เพราะพวกเขาเดินไป คนละทาง และเขาเดินเร็วมาก และฉันตามลำพังกับกิ่งไม้ อันเดียว และถุงนอน ก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อย ๆ เพราะน้ำฝนซึมเข้าไป อีกทั้งเส้นทางก็ลำบาก และฉันเดินขึ้นเขาอีก แต่ฉันก็มีความสุข ฉันไม่ได้คิด อะไรมากPhoto Caption: เต้นรำกับพระอาทิตย์ด้วยความขอบคุณ